ถ้าพูดถึง GPS สำหรับคนที่เดินทางคงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับนักเดินทางเลยทีเดียว แต่ GPS บางครั้งก็ไม่ได้นำเราไปสู่จุดหมายปลายทางที่เราต้องการเสมอไป เพราะมันอาจจะพาเราไปเจอกับเรื่องสยองขวัญได้เหมือนกัน
สิ่งที่เราจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องของเราเองค่ะ ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าหนาว เราและครอบครัวเราสี่คน คือ เรา สามี แม่และลูกเรา เดินทางไปเยี่ยมญาติของเราที่ต่างจังหวัด
เรื่องมันเกิดตอนขากลับจากต่างจังหวัดตอนนั้นประมาณหกโมงเย็น ฟ้าเริ่มจะมืดแล้วเพราะเป็นช่วงหน้าหนาว แฟนเราก็ขับรถกลับตามเส้นทางหลักปกติแต่เราเกิดปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำจึงพากันแวะปั้ม เมื่อทำธุระเสร็จก็ออกเดินทางต่อ หลังจากออกจากปั๊มมาไม่ไกลก็จะเจอป้ายบอกทางให้เลี้ยวซ้ายตามปกติ พวกเราก็เลี้ยวตามป้ายบอกทางไป แต่เมื่อขับไปได้สักพักจากที่เป็นทางที่เคยมา เราก็เริ่มแปลกตากับถนนที่เปลี่ยนไปกลายเป็นทางไม่ค่อยจะคุ้นเคย ถนนจากสี่เลนเริ่มกลายเป็นสองเลน เราจึงทักแฟนว่าขับรถมาผิดทางปะเนี่ย แต่แฟนเราก็ยืนยันว่าขับมาตามปกติเหมือนทุกที เราก็เลยเปิด GPS ดูปรากฏว่ามันไม่ใช่เส้นทางที่เราเคยเดินทาง อาจจะเพราะถนนมีการตัดใหม่หลายเส้นจึงทำให้เราเลี้ยวผิดตอนที่ออกจากปั้ม ครั้นจะกลับไปทางเดิม เราก็มาไกลมากแล้วจึงใช้ GPS หาเส้นทางใหม่และเลือกเส้นทางที่เร็วที่สุดเพราะลูกเราเริ่มงอแงแล้ว (ลูกเราตอนนั้นขวบกว่าๆ)
แฟนเราขับรถตาม GPS มาเรื่อยๆ ทางก็เริ่มแคบลง ไฟข้างทางก็ห่างเรื่อยๆ จนข้างทางไม่มีไฟเลยเห็นแต่แสงไฟจากที่ไกลๆ เหมือนไฟจากเสาสัญญาณอะไรสักอย่าง และก็แสงไฟจากหน้ารถของเราเท่านั้น แฟนเราเริ่มขับช้าลงเพราะมองไม่ค่อยเห็นทางข้างหน้า จากถนนคอนกรีต ตอนนี้กลายเป็นถนนลูกรัง ข้างทางเป็นป่าสลับกับทุ่งหญ้า เราเริ่มจะ บ่นๆแฟนว่าจะถึงบ้านตอนไหนเนี่ย!! ทางก็น่ากลัวชมัด จนแม่ของเราที่นั่งอยู่ข้างหลังกับลูกชายเรา พูดขึ้นมาว่า อืม…ใจเย็นๆ เราจับน้ำเสียงของแม่เราได้ว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ เราจึงหยุดพูดแล้วเริ่มมองตามทางที่ไฟรถส่องเห็นเพียงเป็นเงาดำๆ ของเนินดินกับอะไรสักอย่างคล้ายๆกับจอมปลวกสูงๆ
ระหว่างที่เรามองข้างทางอยู่จู่ๆ แฟนของเราก็หยุดรถกระทันหันเราเลยหันไปถามด้วยความตกใจว่ามีอะไร เขาเลยบอกว่าข้างหน้ามันเป็นทางตันพอเรามองไปข้างหน้าก็เห็นมีแต่ต้นไม้และป่าเต็มไปหมดไม่มีทางให้รถวิ่ง ด้วยความที่พวกเรารีบๆ แฟนเราก็เลยเอาไฟฉายที่อยู่ในรถ ลงไปส่องดูข้างทางแถวๆท้ายรถ เผื่อว่ามันมีทางเลี้ยวตามที่ GPS บอกอยู่ใกล้ๆ แต่เราอาจจะขับเลยมาเพราะไม่ทันมอง
พอแฟนเราลงไปอยู่ๆลูกเราก็ร้องกรี๊ดออกมาเสียงดังแล้วร้องไห้หนักมาก เรากับแม่ตกใจรีบปลอบลูก เอานมให้ลูกกินเพื่อให้หยุดร้อง แล้วจู่ๆแฟนเราก็กลับขึ้นรถมาแล้วปิดประตูอย่างเร็วเหมือนหนีอะไรสักอย่าง เราเลยพูดว่า เป็นอะไร มีอะไรเหรอ แต่แฟนนิ่งไม่ตอบแล้วก็บอกว่าเดี๋ยวกลับรถไปทางเดิมนะ แฟนเราก็ค่อยๆถอยรถออก ลูกเราก็ยังร้องไห้ไม่หยุด
สักพักก็มีเสียงดังตึงเหมือนชนกับขอบฟุตบาทแล้วรถก็ดับไป ลูกเราก็หยุดร้อง ทุกอย่างเงียบสนิท มีเพียงแสงไฟจากมือถือที่เปิดดู GPS ส่องในรถ มันดูผิดปกติไปหมด เราสามคนต่างมองหน้ากันแม้แสงสว่างจะน้อยแต่ก็เห็นได้ชัดว่าสีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและหวาดกลัว แฟนเราพูดขึ้นมาว่าไม่มีอะไรหรอก เมื่อกี้มือไปโดนปุ่มสตาร์ทพอดี พูดเสร็จก็จะสตาร์ทรถแต่ยังไม่ทันสตาร์ท ลูกเราก็ร้องกรี๊ดขึ้นมาอีกเสียงดังมากกว่าครั้งก่อน แม่เราจึงกอดลูกเราเอาไว้ แฟนเรารีบสตาร์ทรถแต่ก็ไม่ติดเลยบอกให้เราส่องไฟที่เกียร์หน่อยเผื่อเกียร์ค้าง พอส่องไฟดู แฟนเราร้อง “เฮ้ย!” ด้วยความตกใจ เรารีบถามอย่างร้อนรนกลัวๆ พี่เป็นอะไร เป็นอะไร แฟนจึงตอบกลับมาว่า ทำไมเกียร์รถมันเลื่อนมาอยู่ผิดที่ ตอนนี้ทุกอย่างดูแย่ไปหมด เราสั่นไปหมดหันไปมองแม่ที่นั่งกอดลูกชายที่กำลังร้องไห้อยู่ด้านหลัง ก็เห็นเหมือนเงาบางอย่างอยู่ด้านหลังรถของเรา และแม่ของเราที่นั่งอยู่เหมือนจะเห็นแล้วเหมือนกันเพราะแม่นั่งกอดลูกชายเราแน่นมาก ระหว่างนั้นแฟนเอื้อมมือไปหยิบพระหน้ารถมาไหว้พร้อมกับอธิษฐานแล้วสตาร์ทรถอีกครั้ง คราวนี้รถติด แฟนเราเหยียบคันเร่งอย่างแรงรีบกลับรถทันทีเพื่อให้หลุดจากตรงนั้นมาได้ ในระหว่างที่รถกำลังหันหน้าเข้าข้างทางเพื่อกลับเราก็ชำเรืองไปเห็นสิ่งที่คล้ายกับโกศอยู่ข้างทาง เราได้แต่ตกใจ พูดอะไรไม่ออก หลังจากที่รถเราออกมาจากตรงนั้น ลูกเราก็เริ่มหยุดร้องไห้ เราทั้งสามคนไม่มีใครพูดอะไร เหมือนทุกคนต่างช็อคกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ แฟนเรารีบขับรถย้อนกลับมาตามทางเก่าที่เรามา
จนมาเจอพื้นที่ชุมชนและถนนใหญ่และจึงแวะเข้าปั้ม เพื่อตั้งสติ เราถามทางจากเด็กปั้ม และบอกว่าเมื่อกี้เราไปทางโน้นมาแล้วแต่เป็นทางตัน เมื่อเด็กปั้มได้ยินจึงบอกว่า โอ๊ยพี่ทางนั้นใครเค้าไปกัน มันไปไม่ได้พี่ มันเป็นป่าช้า หน้าเราที่ตอนนี้ซีดอยู่แล้วกลับรู้สึกว่ามันซีดขึ้นไปอีกและนี่คงเป็นเหตุผลที่เราถามแฟนแล้วเขาไม่ตอบ จากนั้นเด็กปั้มจึงบอกให้เรากลับไปทางเดิม แล้วเลี้ยวขวาจะมีทางเข้าเมือง
กว่าเราจะกลับถึงบ้านก็ใช้เวลานานกว่าปกติมาก เราเริ่มสักเกตุว่าลูกชายของเรามีอาการตัวร้อนและเริ่มสั่นผวา เราจึงเช็ดตัวให้ลูกชายและให้กินยา ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงลูกชายของเราก็ยังอาการไม่ดีขึ้น เราจึงพาลูกไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน คุณหมอให้ลูกเราแอดมิดเพื่อดูอาการ แต่ผ่านมาสองวันลูกชายเราก็ไม่ดีขึ้นโดยที่คุณหมอก็ยังหาสาเหตุไม่ได้
แฟนเราจึงไปหาพระที่ทางครอบครัวเรานับถือและเล่าเรื่องที่เราเจอให้หลวงพ่อท่านฟัง แฟนเราเล่าว่าตอนที่ลงจากรถ แฟนเราเห็นเหมือนเงาคล้ายคนยืนอยู่ด้านหลังของสิ่งที่คล้ายกับโกศเก่าๆ และทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาหา แฟนจึงรีบกลับขึ้นรถแล้วติดสินใจกลับรถเพื่อหนีออกมา หลวงพ่อท่านบอกว่าลูกชายเราอาจจะโดนทัก ให้เอาสายสิญจน์ไปผูกที่ข้อมือ และให้เอาน้ำมนต์ไปแตะที่หัวจะช่วยได้ เมื่อเราทำตามที่หลวงพ่อท่านบอก ลูกชายเราก็อาการดีขึ้น และกลับบ้านได้
และนี่ก็เป็นประสบการณ์ขนหัวลุกของเรา ตั้งแต่นั้นมา ถ้าเราต้องไปในสถานที่และเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย เราพยายามที่จะไม่กลับเย็นมืดค่ำ และถ้าหากมีความจำเป็นต้องใช้ GPS จริงๆเราจะเลือกให้นำทางด้วยเส้นทางหลักเท่านั้น
หมายเหตุ: หลังจากครั้งนั้นพวกเราก็ยังคงไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดเดิมอีก แต่ตอนขากลับนั้นเราก็วิ่งทางเดิมและพยายามมองหาป้ายบอกทางอันนั้น แต่ก็ไม่เคยเจออีกเลย อาจจะเพราะไม่ได้กลับมืดเหมือนกับครั้งนั้นก็เป็นได้