deepfake (ดีพเฟค) หน้าจริงหรือหลอก!

deepfake

             “โลกเราอยู่ยากขึ้นทุกวัน” คำนี้อาจจะฟังแล้วเป็นการตัดพ้อการใช้ชีวิตที่ยุ่งยากเนื่องจากการขาดเสถียรภาพในความปลอดภัยที่ทุกวันนี้โจรชุมเป็นดอกเห็ด คนทะเลาะกันกลายเป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปไม่เว้นวัน
แต่นอกจากการตัดพ้อแล้วดูเหมือนว่าคำคำนี้จะมีความหมายมากกว่านั้นเมื่อเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นก้าวไปเร็วเหลือเกินเร็วจนกระทั่งแม้แต่สิ่งที่เราเห็นนั้นอาจจะไม่ใช่ความจริงอีกต่อไป
             นั่นก็เพราะว่าด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์นั้นสามารถพัฒนาด้าน AI(ปัญญาประดิษ), Machine Learning, Big Data, Data Science ตลอดไปจนถึง image processing และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจนทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Deepfake ขึ้นมา
             มาถึงตรงนี้ก็คงมีหลายๆ คนที่สงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคำว่า “โลกเราอยู่ยากขึ้นทุกวัน” ละ? เดี๋ยวเล่าให้ฟัง (หลายคนก็คงพอจะเดาได้คร่าวจากชื่อแล้ว)
ที่บอกว่ามันทำให้เราอยู่ยากขึ้นก็เพราะว่าเจ้าเทคโนโลยีที่เรียกว่า Deepfake นี้มันมีความสามารถในการปลอมแปลงรูปภาพ และ วีดีโอ ต่างๆ โดยการเอาหน้าอีกคนไปใส่แทนหน้าอีกคนในรูปภาพหรือในวีดีโอได้อย่างน่าทึ่งโดยเฉพาะในวีดีโอซึ่งบาง app นั้นสามารถที่จะใส่เสียงแทนได้ด้วย

วีดีโอจาก https://deepfakelab.theglassroom.org/

 

             มาถึงตรงนี้พอจะนึกกันออกหรือยังว่ามันทำให้เราอยู่ยากยังไง
โอเค! ถ้ายังนึกไม่ออกให้ลองนึกถึงว่ามีคนดังมากๆ 1 คนชื่อ A แล้วเขาถูกเอาหน้าไปใส่ในวีดีโอที่มีเนื้อหาด้านลบโดยที่คนคนนั้นไม่รู้ตัวแล้วก็ถูกแชร์ต่อกันไปเรื่อยๆ โดยที่ทุกคนที่ได้เห็นคิดว่าเป็นเรื่องจริงแล้วเข้าไปวิจารณ์กันเสียๆ หายๆ ใน facebook ของ A
มาถึงตรงนี้คุณคิดว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อ? ความเสียหายมีอะไรบ้าง?
อย่างแรกเลยคือ A เสื่อมเสียชื่อเสียงทั้งที่ไม่ได้ทำอย่างในวีดีโอ  ความเสียหายต่อมาคือเมื่อ A ถูกทำให้เสียชื่อเสียงเขาจะอยู่เฉยหรือไม่ คำตอบคือไม่ เขาก็จะต้องแจ้งความดำเนินคดีคนที่ทำให้เขาเสียหายซึ่งก็ได้แก่ คนที่ทำวีดีโอด้วย deepfake, คนที่ส่งต่อวีดีโอ และคนที่ไปวิจารณ์ให้ A เสื่อมเสียนั่นเอง

             เป็นไงกันบ้างครับ พอจะเห็นหรือยังว่า deepfake ทำให้เราอยู่ยากได้ยังไง (ลองคิดจากตัวอย่างที่กล่าวมาว่าตัวเองคือ A ดูก็ได้ครับ)

deepfake_Original

ต้นฉบับ

Deepfake

 

             แต่ถึงยังไงทุกอย่างเมื่อมีด้านดีก็ต้องมีด้านเสีย หรือเมื่อมีด้านเสียก็ต้องมีด้านดีเช่นกัน เกลิ่นมาซะน่ากลัวเลย เอ้า มาดูด้านดีกันมั่งดีกว่า เอาแบบง่ายๆ เลยถ้าเราเอาไปใช้สำหรับวงการบันเทิงล่ะ? อ่าห้า…ก็สนุกน่ะสิ จะทำเรื่องขำ ฮาๆ ป่วนๆ แบบไหนก็ได้โดยหาคลิปขำมาแล้วใช้ deepfake เอาหน้าเราไปแปะแล้วส่งให้เพื่อนดูขำก็ดีเหมือนกันนะซึ่งอันนี้ก็น่าจะเคยเห็นกันมาบ้างแล้ว และถ้าเอาไปใช้กับการถ่ายหนังก็ดูเข้าทีเหมือนกันนะเวลาต้องให้สตันแมนแสดงแทนแล้วใช้เจ้า deepfake นี่ละเอาหน้าดารานำตัวจริงไปใส่แทนก็ช่วยให้งานตัดต่อง่ายขึ้นเป็นกองแถมยังได้แบบเนียนๆ อีกด้วย
             

             เป็นไงกันบ้างครับพอจะเห็นภาพของเจ้า deepfake และข้อดีข้อเสียของเทคโนโลยีนี้กันหรือยัง จริงๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดเนี่ยก็แค่อยากให้ได้ทำความรู้จักกับเจ้า deepfake กันแบบคร่าวๆ เท่านั้นเพื่อที่จะส่งต่อให้พระเอกขี่ม้าขาวที่พอจะเป็นความหวังของเราในการช่วยป้องกันการใช้งาน deepfake ในด้านลบนั่นเอง … เอะ!!!! เอ๊ (ลากเสียงสูงยาวๆ กันไปสัก 3 วินาที 555)
โอเค… พระเอกของเราในบทความนี้ก็คือ facebook นั่นเอง ซึ่งทาง facebook นั้นได้ร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัย Michigan ในการค้นคว้าพัฒนาเทคโนโลยีในการทำ reverse engineer deepfake อยู่ในขณะนี้โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นวิธีในการวิเคราะห์และถอดรหัสภาพที่ถูกสร้างด้วย AI อย่าง deepfake ว่าถูกสร้างมาอย่างไรทำให้เรารู้ได้ว่ามันเป็นของที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่ใช่ของจริงซึ่งจะช่วยให้เราแยกแยะได้ก่อนจะตัดสินใจเชื่อในสิ่งที่เราเห็นนั่นเอง

             แต่ถึงอย่างไรหนทางในการที่จะทำสำเร็จนั้นก็แสนสาหัสสำหรับ facebook เพราะว่าตัว deepfake นั้นสามารถ customize ได้ง่ายทำให้มีการพัฒนาวิธีการใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาซึ่งเป็นการยากมากที่จะไล่ตามทันภายในระยะเวลาสั้นๆ ยังไงก็เอาใจช่วยให้ facebook และมหาวิทยาลัย Michigan ทำสำเร็จเร็วๆ นะเพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอกกันนะครับ

 

ขอบคุณที่มา
อ้างอิง : https://ai.facebook.com/blog/reverse-engineering-generative-model-from-a-single-deepfake-image/
อ้างอิง : https://deepfakelab.theglassroom.org/

ร่วมแชร์กับ Getstorypoint

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *