เรื่องการเจอผีของผมนี้เพิ่งเกิดขึ้นกับผมเมื่อไม่นานมานี้เองครับ มันเกิดตอนที่ผมกับครอบครัวกลับไปงานทำบุญครบร้อยวันคุณปู่ (ตายครบ100วัน)ที่ต่างจังหวัด คุณปู่ผมเป็นคนที่แข็งแรงมากๆ ตอนที่คุณปูเสียแกอายุ 72 ครับ ตอนที่แกเสียก็ไม่ได้มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร แกหลับไปเฉยๆไม่ตื่นเท่านั้นเอง คุณปู่แกเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งของของแก แกจะมีของรักอยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งแกจะห่วงมากเป็นพิเศษ นั้นคือจักรยาน ที่ทุกคนต่างรู้ดีว่าอย่าได้แตะ เพราะหากใครที่เอาจักรยานของแกมาขี่ แกจะโมโหและและด่าแบบข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียว หลังจากปู่ตายไป รถจักรยานของคุณปู่ก็ยังคนจอดอยู่ที่เดิมไม่มีใครไปยุ่ง และเรื่องมันก็มาเกิดในคืนก่อนวันครบรอบร้อยวันคุณปู่ คืนนั้นที่บ้านต่างเตรียมงาน เตรียมทำกับข้าวเพื่อทำบุญในตอนเช้า ญาติๆต่างมาช่วยงานกันเตรียมของ และบังเอิญน้ำตาลที่จะต้มน้ำหวานเกิดไม่พอ แม่ผมเลยให้ผมไปซื้อที่ร้านค้าหน้าปากซอย ซึ่งก็อยู่ห่างจากบ้านผมประมาณ 700 เมตร ปกติผมจะเดินออกไปซื้อ แต่ตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำเริ่มมืดแล้ว และทางในซอยบ้านปู่ผมจะมีต้นไม้ครึ้มตลอดทางไม่มีไฟข้างทาง ในกลางคืนจึงมืดมาก เมื่อผมเดินออกมาที่หน้าบ้านเห็นจักรยานของคุณปู่จอดอยู่ ใจหนึ่งผมก็ไม่กล้าไปเอามาขี่เพราะรู้ว่าคุณปู่แกหวงมาก แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าคุณปู่แกเสียไปนานแล้วคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง บวกกับผมขี้เกียจเดินด้วย ผมจึงไปเอาจักรยานของคุณปูปั่นเพื่อไปซื้อของระหว่างทางที่ผมปั่นจักรยานไปแสงก็เริ่มน้อยลงเพราะใกล้จะค่ำมากแล้ว ผมจึงรีบไป พอไปถึงร้านค้าหน้าปากซอย เมื่อผมซื้อของเสร็จก็รีบปั่นจักรยานกลับบ้าน แต่คราวนี้ผมรู้สึกว่าท้ายจักรยานเริ่มมีอะไรหนักๆ ผมเริ่มปั่นไม่ค่อยไป และรู้สึกเหนื่อย ตอนนี้ท้องฟ้ามืดมาก สองข้างทางก็มืดมีต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมดทำให้บรรยากาศดูหน้ากลัวขึ้นไปอีก ผมพยายามออกแรงปั่น แต่เหมือนท้ายจักรยานจะหนักขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนมีมือใครบางคนมาแตะที่หลังของผม ผมหยุดปั่นจักรยานโดยอัตโนมัติเพราะขามันแข็ง ผมค่อยๆหันหลังไปมองข้างหลังที่ท้ายจักรยานอย่างช้าๆ ในใจก็นึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก และสิ่งที่ผมเห็นตอนนั้นคือ หน้าของปู่ที่กำลังจ้องมองมาที่หน้าผมอยู่ […]
Category Archives: เรื่องเล่าสยองขวัญ
เล่าเรื่องผี ผีซ่อนแอบ
คุณเคยรู้สึกอย่างเราไหม ว่าเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมองคุณอยู่ทุกๆที่ทุกเวลา ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นกับเรามาสองเดือนกว่าแล้ว เรารู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมองเราตลอด ตามเราไปในทุกที่ จนพ่อเราต้องติดกล้องวงจรปิดให้ที่บ้าน แต่เมื่อดูในกล้องก็ไม่มีอะไร เราเริ่มฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งบ่อยๆ เราไม่รู้ว่าเค้าเป็นใคร มาจากไหน เราฝันซ้ำๆเดิมๆ อยู่แบบนั้น จนหนักขึ้นเรื่อยๆบางทีเราอยู่ในห้องคนเดียว เรารู้สึกเหมือนมีใครมานอนข้างๆ เวลาส่องกระจกก็เหมือนมีเงาของใครบางคนสะท้อนอยู่ในกระจก เราเริ่มนอนไม่หลับกลัวจนหลอนไปหมด จนเพื่อนของเราทนกับความหลอนของเราไม่ไหวจึงชวนไปทำบุญที่วัดแถวนนทบุรี หลังจากที่เราทำบุญเสร็จก็พากันมาปล่อยปลาที่ท่าน้ำ ขณะที่เรากำลังปล่อยปลากับเพื่อน มีแม่ชีท่านหนึ่งยืนมองเรา เราก็ยิ้มและทักทาย แต่แม่ชีกลับพูดกับเราว่า มาทำบุญให้เค้าหรอลูก แม่เห็นเค้าตามหนูตลอดเลย ตอนนั้นเราหน้าเสีย และไม่รู้ว่าแม่ชีพูดถึงใคร เราเลยถามไปว่า ใครที่ตามหนูหรอค่ะ แม่ชีบอกว่าเห็นวิญญาณผู้ชายคนหนึ่งคอยตามหนูตลอด แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ตอนที่หนูเข้าไปในวัดเค้าก็ยืนรอหนูอยู่ จนหนูออกมาตรงนี้เค้าก็ยังรอหนูอยู่ เราได้ฟังถึงกับขนลุกไปหมด เพราะเราเองก็รู้สึกว่ามีคนคอยตามเราอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ยิ่งได้ฟังที่แม่ชีเล่าทำให้เรากลัวเป็นอย่างมาก แม่ชีบอกให้เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เค้าเยอะๆ เค้าอาจแค่ต้องการส่วนบุญ หลังจากที่เรากลับจากวัด เราก็เอาเรื่องที่แม่ชีทักมาเล่าให้พ่อกับแม่เราฟัง (แม่เราเชื่อเรื่องพวกนี้มาก) พอตอนเช้าอีกวัน แม่เราจึงพาเราไปหาพระให้ท่านช่วยสะเดาะเคราะห์ให้เรา เพราะแม่คิดว่าเราอาจจะมีเคราะห์ พระท่านจึงทักว่า เค้าตามมาเพราะหนูเป็นคนชวนเค้ามาเอง ลองคิดดูนะลูกว่าหนูเคยชวนใครมาอยู่ด้วยไหม เราพยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเราไปชวนใครมาอยู่ด้วยตอนไหน จนในที่สุดเราก็ถึงกับร้องอ้อว่า คงเป็นตอนที่เราไปเที่ยวกับเพื่อนๆที่ต่างจังหวัด ในตอนกลางคืนเราออกไปกินข้าวต้มแถวหน้าสุสานจีน และเรากับเพื่อนเห็นลูกชายของเจ้าของร้านหน้าตาดี […]
ก่อนที่เราจะนำเรื่องราวสยองขวัญนี้มาเล่าให้ทุกคนได้ฟัง เราได้ขออนุญาติเจ้าของเรื่องแล้ว และเจ้าของเรื่องก็อนุญาตให้เรานำเรื่องนี้มาเล่าได้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์หรือข้อคิดสำหรับใครบางคนที่กำลังหลงผิดอยู่ เพราะเรื่องนี้เป็นประสบการณ์หลอนที่มาจากการกระทำที่ผิดพลาดของเจ้าของเรื่องเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนในกลุ่มของเราเองค่ะ กลุ่มเราสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย กลุ่มเรามีกัน 4 คน เราเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่ม เพราะคณะที่เราเรียนไม่ค่อยมีผู้หญิง เรื่องของเพื่อนเราคนนี้เกิดหลังจากที่เราทำงานกันแล้ว โดยเพื่อนของเราทำงานเป็นวิศวะกรของบริษัทหนึ่ง เพื่อนเราคนนี้เป็นคนที่หน้าตาดีเข้าขั้นหล่อเลยก็ว่าได้ จึงไม่แปลกที่จะมีผู้หญิงเข้ามาติดพันกันมาก ทำให้เพื่อนเรามีเรื่องชู้สาวเป็นประจำ แต่เพื่อนเราก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แฟนของเพื่อนเราเธอเป็นผู้หญิงน่ารัก ยิ้มเก่ง พูดเก่ง อัธยาศัยดีมาก อาจจะเพราะเธอเป็นคุณหมอด้านจิตแพทย์ เลยทำให้เธอรู้จักพูด เพื่อนเราค่อนข้างรักแฟนคนนี้มาก เห็นตั้งมั่นมากว่าจะเลิกเจ้าชู้และวางแผนที่จะแต่งงานเลยทีเดียว แต่แฟนของเพื่อนเราดันสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่อเมริกาได้ แฟนของเพื่อนจึงขอไปเรียนต่อก่อน 2 ปี แล้วค่อยกลับมาแต่ง ช่วงแรกที่แฟนเพื่อนเราไปเรียนใหม่ๆ เพื่อนเราก็ยังทำตัวปกติดี มีลาพักร้อนบินตามไปหากันเป็นระยะ แต่มันก็มีเรื่องให้เพื่อนเราตะบะแตก อย่างว่าผู้ชายเจ้าชูมันก็ยังเจ้าชู้อยู่วันอย่างค่ำ เรื่องมันเกิดตอนที่บริษัทของเพื่อนเรารับพนักงานใหม่ เพื่อมาเป็นผู้ช่วยเพื่อนเรา ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานเอกสาร พนักงานใหม่คนนี้เป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารัก อัธยาศัยดี ชอบพูดชอบหยอกล้อ (คนละแนวกับแฟนเพื่อนเรา แฟนเพื่อนเราจะคุยแบบผู้ใหญ่ ) แต่น้องคนนี้จะออกแนวใสๆ ขี้อ้อน ขนาดเราเป็นผู้หญิงเรายังชอบในความน่ารักสดใส […]
ถ้าพูดถึง GPS สำหรับคนที่เดินทางคงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับนักเดินทางเลยทีเดียว แต่ GPS บางครั้งก็ไม่ได้นำเราไปสู่จุดหมายปลายทางที่เราต้องการเสมอไป เพราะมันอาจจะพาเราไปเจอกับเรื่องสยองขวัญได้เหมือนกัน สิ่งที่เราจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องของเราเองค่ะ ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าหนาว เราและครอบครัวเราสี่คน คือ เรา สามี แม่และลูกเรา เดินทางไปเยี่ยมญาติของเราที่ต่างจังหวัด เรื่องมันเกิดตอนขากลับจากต่างจังหวัดตอนนั้นประมาณหกโมงเย็น ฟ้าเริ่มจะมืดแล้วเพราะเป็นช่วงหน้าหนาว แฟนเราก็ขับรถกลับตามเส้นทางหลักปกติแต่เราเกิดปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำจึงพากันแวะปั้ม เมื่อทำธุระเสร็จก็ออกเดินทางต่อ หลังจากออกจากปั๊มมาไม่ไกลก็จะเจอป้ายบอกทางให้เลี้ยวซ้ายตามปกติ พวกเราก็เลี้ยวตามป้ายบอกทางไป แต่เมื่อขับไปได้สักพักจากที่เป็นทางที่เคยมา เราก็เริ่มแปลกตากับถนนที่เปลี่ยนไปกลายเป็นทางไม่ค่อยจะคุ้นเคย ถนนจากสี่เลนเริ่มกลายเป็นสองเลน เราจึงทักแฟนว่าขับรถมาผิดทางปะเนี่ย แต่แฟนเราก็ยืนยันว่าขับมาตามปกติเหมือนทุกที เราก็เลยเปิด GPS ดูปรากฏว่ามันไม่ใช่เส้นทางที่เราเคยเดินทาง อาจจะเพราะถนนมีการตัดใหม่หลายเส้นจึงทำให้เราเลี้ยวผิดตอนที่ออกจากปั้ม ครั้นจะกลับไปทางเดิม เราก็มาไกลมากแล้วจึงใช้ GPS หาเส้นทางใหม่และเลือกเส้นทางที่เร็วที่สุดเพราะลูกเราเริ่มงอแงแล้ว (ลูกเราตอนนั้นขวบกว่าๆ) แฟนเราขับรถตาม GPS มาเรื่อยๆ ทางก็เริ่มแคบลง ไฟข้างทางก็ห่างเรื่อยๆ จนข้างทางไม่มีไฟเลยเห็นแต่แสงไฟจากที่ไกลๆ เหมือนไฟจากเสาสัญญาณอะไรสักอย่าง และก็แสงไฟจากหน้ารถของเราเท่านั้น แฟนเราเริ่มขับช้าลงเพราะมองไม่ค่อยเห็นทางข้างหน้า […]
หลายๆคนบอกว่าการมีเพื่อนบ้านที่ดี เหมือนถูกหวยรางวัลที่1 เมื่อก่อนเราและพี่สาวก็เคยคิดเช่นนั้น แต่ตอนนี้เราคิดว่ามันก็อาจจะไม่จริงเสมอไป เรื่องของเรากับพี่สาวเริ่มจาก ตอนที่เราเริ่มหาซื้อบ้านตามชานเมือง เพราะคอนโดที่เรากับพี่สาวอยู่เริ่มจะคับแคบเพราะข้าวของของเราสองคนเยอะมาก และเราอยากให้มีที่พักสำหรับแม่เวลาขึ้นมาหาหมอที่กรุงเทพด้วย เราจึงตระเวนหาบ้าน จนมีเซลท่านหนึ่งแนะนำบ้านเดี่ยวมือสองทำเลดี ไม่ไกลจากในเมืองมาก พอเรากับพี่สาวไปดูก็ถูกใจมากที่สำคัญราคาไม่แพงด้วย ตัวบ้านเป็นบ้านชั้นเดียว เราดูบรรยากาศรอบๆแล้วก็โอเค คนไม่พลุกพล่าน เนื่องจากอยู่เกือบท้ายซอย (ถัดจากบ้านท้ายซอยมากหนึ่งหลัง ) หน้าบ้านหันไปทางทิศตะวันออกติดกับถนน เรากับพี่สาวจึงตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ ในช่วงแรกที่รีโนเวทบ้านและขนย้ายของเพื่อเตรียมย้ายเข้าไปอยู่ เราก็มีโอกาสได้เจอกับคนทำความสะอาดบ้านของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ก่อนจะถึงบ้านเรา เธอเล่าว่าเจ้าของบ้านทำงานอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ นานๆทีจะกลับมาพักที่บ้าน โดยจ้างเธอให้มาทำความสะอาดบ้านให้เดือนละ 2 ครั้งเท่านั้น ส่วนเพื่อนบ้านอีกหลังเราไม่เคยเจอ ตอนนั้นเราคิดว่าคงออกไปทำงานเพราะเราไปในตอนกลางวัน เริ่มจากวันแรกที่เรากับพี่สาวย้ายไปอยู่ ตอนประมาณสองทุ่มเราได้ยินเสียงเพลงลูกกรุงจากบ้านหลังที่อยู่ถัดเราไป (บ้านหลังสุดท้ายของซอย) แต่เพลงก็ไม่ได้ดังจนถึงขั้นรบกวนเรากับพี่สาว เราได้ยินสักพักเสียงก็หายไป ในคืนถัดมาเราก็จะได้ยินเสียงเพลงในช่วงเวลาเดิมทุกๆวัน บางวันก็มีเสียงเหมือนคนรดน้ำต้นไม้ บางวันก็มีเสียงเหมือนคนทำครัว เราก็แปลกใจเล็กน้อยทำไมไม่ทำกลางวัน เพราะตอนกลางวันเราไม่เคยเห็นคนออกจากบ้านนี้เลย จนคืนวันหนึ่งพี่สาวเราไปต่างจังหวัดและเราไปงานเลี้ยงบริษัทกลับดึกประมาณตีหนึ่ง […]
สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ เราชื่อมด เรามีเรื่องเล่าประสบการณ์หลอนเกี่ยวกับผี ที่อยากเล่าให้ทุกคนฟังค่ะ มันเป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกกลัวที่สูงชันและไม่กล้าไปเที่ยวป่าหรือเที่ยวดอยอีกเลย เรื่องนี้เกิดเมื่อหลายปีก่อนตอนที่เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เราได้มีโอกาสไปออกค่ายอาสาของชมรมหนึ่ง สถานที่ที่เราไปเป็นหมู่บ้านบนเขา ซึ่งยังห่างไกลจากความเจริญอยู่มาก ทางขึ้นไปที่หมู่บ้านจึงค่อนข้างจะลำบาก และเมื่อกลุ่มของเราเดินทางมาถึงครึ่งทางรถยนต์ที่เรานั่งกันมาก็ไม่สามารถไปต่อได้ เพราะทางเป็นถนนลูกรังเล็กๆและช่วงที่เราไปเป็นหน้าฝน ทางค่อนข้างลื่นมีแต่โคลนและเป็นหลุ่มเป็นบ่อ รถยนต์จึงไม่สามารถขึ้นไปต่อได้ กลุ่มของเราจึงตัดสินใจว่าเราจะขนของโดยใช้มอเตอร์ไซต์ของชาวบ้าน ส่วนคนที่เหลือประมาณ 30 คนจะเดินเท้าขึ้นไป ซึ่งเหลือระยะทางประมาณ 5 กิโลเท่านั้น ในการเดินทางขึ้นไปที่หมู่บ้านก็จะมีเจ้าหน้าที่ 4 ท่าน (ทหารพราน) เดินนำและคอยดูแลพวกเรา (ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ทางชมรมมีการประสานงานขอความช่วยเหลือจากทหารพรานในพื้นที่) เราแอบตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เดินชมธรรมชาติข้างทาง ซึ่งอากาศในขณะนั้นไม่ร้อน ค่อนข้างที่จะมืดครึมเพราะมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมบวกกับมีฝนตกปรอยๆอยู่เป็นระยะ เมื่อเดินมาได้สักพักเราเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบ้างอย่างจับตามองฉันอยู่ตลอดเวลา เราจึงพูดกับเพื่อนทีเล่นทีจริงว่า ‘’มึงรู้สึกเหมือนมีอะไรจ้องมองเราอยู่ไหม เสือปะว่ะ’’ เพื่อนจึงด่ากลับมาว่า ”อี..มึงจะบ้าหรือไง ในป่าเค้าไม่ให้ทัก มึงอะคิดมาก […]
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์หลอนของปู่ผมเองครับ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว สมัยที่คุณปู่เป็นหนุ่มๆ ยังไม่มีครอบครัว ปู่มีพี่ชายอยู่คนหนึ่งชื่อปู่สม ปู่สมแกอายุมากกว่าปู่ผมประมาณ 10 ปี แกบวชเรียนตั้งแต่เด็ก และเพิ่งศึกออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน ครอบครัวของปู่ผมทำไร่บนภูเขา ซึ่งห่างจากหมู่บ้านมาก ต้องเดินเท้าขึ้นไปจากหมู่บ้านก็ใช้เวลาเดินเท้าเป็นวันๆกว่าจะถึง หรือบางบ้านที่มีฐานะหน่อยก็ใช้เกวียนก็จะย่นระยะเวลาได้เร็วขึ้น ปู่และพี่ชายจึงสร้างกระท่อมไม้ไผ่บนเขาเพื่อใช้เป็นที่พักเวลาขึ้นไปทำไร่ ซึ่งในบริเวณนั้นก็จะมีกระท่อมของคนอื่นๆ ที่ขึ้นมาจับจองพื้นที่ทำกินเหมือนกัน แต่ละบ้านก็จะสร้างกระท่อมอยู่ห่างๆกัน เรื่องมันเกิดหลังจากที่ปู่และพี่ชายนำของลงมาขายและมาอยู่บ้านประมาณเกือบเดือน จึงได้กลับขึ้นไปดูของในไร่ที่ปลูกไว้ ระหว่างที่เดินเท้ากลับไปใกล้จะถึงกระท่อมก็เป็นเวลาโพล้เพล้ ปู่ก็เห็นน้านุ้ยที่กำลังท้องแก่ เดินสวนไปทางกระท่อมของแก ปู่จึงร้องทัก ‘’น้านุ้ยไปไหน ทำไมมาเดินค่ำๆคนเดียว น้าวัน (ผัวของน้านุ้ย) ไปไหน ‘’ แต่น้านุ้ยก็ไม่ตอบเดินก้มหน้าผ่านไปอย่างเร็ว ปู่ก็งงว่าทักทำไมไม่ตอบ พี่ชายของปู่จึงรีบดึงแขนปู่ให้รีบเดินโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อปู่กับพี่ชายมาถึงกระท่อมก็มืดมากแล้ว พี่ชายของปู่แกอาบน้ำและหลับไปก่อน จังหวะที่ปู่กำลังจะเข้านอนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้โหยหวน เสียงเจ็บปวดและทรมานมาก ปู่นั่งฟังอยู่สักพักเสียงก็เริ่มดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ปู่จึงมาปลุกพี่ชายให้ไปเป็นเพื่อนเพราะคิดว่าเป็นเสียงน้านุ้ยร้องขอความช่วยเหลือแน่ๆ แกคงเจ็บท้องจะคลอดลูก พี่ชายของปู่ลืมตาขึ้นมาแล้วพูดว่า ‘’นอนเถอะ […]
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2560 เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์หลอนที่เกิดกับตัวของเราจริงๆ เราชื่อว่าสร้อย สร้อยเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสาน สร้อยเรียนแบบภาคพิเศษ เรียนเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อนร่วมห้องส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ทำงานแล้ว ซึ่งมีหลายอาชีพด้วยกัน มีทั้งทหาร ตำรวจ ผู้คุมเรือนจำ พนักงานราชการและพนักงานเอกชน ส่วนตัวของสร้อยเองทำงานเป็นพนักงานราชการแห่งหนึ่ง จนกระทั่งปลายเดือนตุลาคม ปี 2560 ขณะนั้นพวกเราเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ก็ได้รับข่าวร้ายจากเมียของพี่มิตร ว่าพี่แกเสียแล้ว เพื่อนร่วมห้องและอาจารย์ทุกคนต่างรู้สึกตกใจมาก เพราะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาพวกเราเพิ่งเจอกันและไม่คิดว่านั่นจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย เพราะพี่มิตรแกรับราชการตำรวจ แกเป็นคนสนุกสนาน เฮฮา ชอบสังสรรค์ ชอบหยอกล้อ พูดคุยกับทุกคน เพื่อนๆจึงชอบแก ส่วนสาเหตุการตาย เมียพี่มิตรเล่าว่า เมื่อคืนวันอังคาร เช้าวันพุธ ตอนประมาณตี 2 กว่าๆ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงพี่มิตร ‘’ร้อง โอ๊ะๆๆ’’ แล้วก็เอามือจับที่หัวใจ แล้วพี่มิตรแกก็นิ่งไป เมียแกที่อยู่ในเหตุการณ์รีบเรียกให้คนมาช่วย และพาพี่มิตรไปโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ทันเพราะพี่แกเสียตั้งแต่ที่บ้านแล้ว งานศพพี่มิตรจัดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง เพื่อนๆในห้องเรียนต่างพากันไปงานศพของพี่มิตร แต่ตัวของสร้อยเองยังไม่ได้ไป […]
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์หลอนของเราเองค่ะ เราเป็นพนักงานออฟิศของบริษัทหนึ่งในกรุงเทพ เรื่องมันเริ่มจากช่วงที่เราลาพักร้อน 15 วัน เพื่อไปบวชชี เนื่องจากมีคนที่เราเคารพและศรัทธาทักว่า เราจะมีเคราะห์อาจถึงชีวิตได้ ต้องรีบไปแก้กรรมด้วยการบวชชี เราจึงขอลางานเพื่อไปบวชชีที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นวัดป่าอยู่บนเขา ระหว่างที่บวชชีเราเคร่งครัดมาก ไม่เล่นโซเชียลหรือใช้เครื่องมือสื่อสารอะไรเลย หลังจากบวชครบ 15 วัน พอเรากลับถึงบ้านประมาณค่ำๆ เราก็อาบน้ำนอนเลยเพราะรู้สึกง่วงและเหนื่อย พอถึงตอนเช้าเราตื่นนอนประมาณตี 5 (ปกติเราตื่นตี 4 ) เราจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวขับรถไปทำงาน เพราะถ้าสายกว่านี้รถจะติด วันนี้เรามาถึงที่ออฟฟิศประมาณ 7 โมง ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของบริษัทตามปกติ บรรยายกาศก็จะไม่ค่อยสว่างมาก แต่ต้องแปลกใจเมื่อรุ่นน้องที่ทำงานด้วยกันกลับมาถึงก่อนเราในวันนี้ รุ่นน้องคนนี้ชื่อน้องจอย เราเห็นน้องจอยยืนยิ้มให้ เมื่อเราปิดประตูรถหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งโยง เพราะน้องจอยมายืนอยู่ข้างหลังเราแล้ว เราเลย อุทาน ‘’โอ้ยย…ใจหายใจคว่ำหมด มายืนทำอะไรตรงนี้’’ น้องจอยทำหน้านิ่งๆ แล้วพูดว่าหนูเอาเงินมาคืนพี่ พร้อมกับยืนมือที่กำของบางอย่างออกมาให้เรา เราก็พูดว่า… ‘’ […]
- 1
- 2