10 วิธีง่ายๆในชีวิตประจำวัน สามารถปรับปรุงพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็กได้
หากคุณกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกน้อย ที่บ้างครั้งอาจจะงอแง่หนักมากหรือร้องไห้ อารมณ์เสียบ่อยๆ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านั้นเราสามารถปรับได้จากการใช้ชีวิตประจำวัน เรามาลองดูกันนะคะ ว่าเราจะช่วยปรับนิสัยของลูกเราได้อย่างไรบ้างค่ะ
-
การดื่มน้ำให้เพียงพอ
หลังจากที่เราได้พยายามดื่มน้ำให้ได้ 8 ออนในแต่ละวันทำให้ได้รู้ว่าการดื่มน้ำมีผลดีมากมายซึ่งไม่ใช่แค่ดีต่อร่างกายเท่านั้นยังส่งผลดีต่อสมองของเราด้วยเช่นกัน และการที่ได้รับน้ำไม่เพียงพอนั้นจะทำให้สมาธิและความจำของเราลดลงทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าจนมีผลกระทบต่ออารมณ์และการแสดงออก
สำหรับเด็กๆแล้วพวกเขามีความเสี่ยงที่จะได้รับน้ำไม่เพียงพอเพราะต้องให้ผู้ใหญ่คอยดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง
-
เด็กที่พักผ่อนเพียงพอคือเด็กที่มีความสุข
คุณคงเคยได้ยินเรื่องของจังหวะเวลาในการนอนและการตื่นนอนในแต่ละวันมาบ้างแต่อาจจะไม่ทันคิดว่าสิ่งนี้มันมีความสำคัญต่อจิตใจและความรู้สึกของเด็กมากแค่ไหน
จังหวะการนอน-ตื่นนอนนั้นเป็นส่วนสำคัญต่อสุขภาพจิตเป็นอย่างมากเพราะมันส่งผลถึงฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งรองรับอารมณ์ ความเจ็บปวดจากความเครียดในการนอนหลับ และภาวะซึมเศร้า
เมื่อเด็กนอนหลับไม่เพียงพอหรือถูกรบกวนการนอนจะส่งผลเสียต่อทั้งสารสื่อประสาทและฮอร์โมนซึ่งทำให้สูญเสียการคิด สูญเสียทักษะในการควบคุมอารมณ์ และทำให้เกิดปัญหาด้านพฤติกรรมของเด็กอีกมากมาย
-
พลังธรรมชาติ
การได้อยู่กับธรรมชาติจะช่วยให้เด็กควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นและส่งผลดีต่ออารมณ์ การรับรู้ ความจำ และลดความวิตกกังวลลง
เราจะพบได้ว่าเด็กที่อยู่ตามเขตตัวเมืองแต่ได้เรียนรู้และมีกิจกรรมเกี่ยวกับธรรมชาติ (Nature Programs) นั้นสามารถเพิ่มความสามารถและทักษะในการรับมือได้ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
-
เพิ่มโปรตีนที่จำเป็น
เมื่อเด็กได้รับโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายผ่านทางอาหารที่กินในแต่ละมื้อไม่เพียงพอจะส่งผลให้การควบคุมอารมร์ของเด็กลดลงเนื่องจากเซลล์สมองจะสื่อสารกันผ่านสารเคมีที่เรียกว่าสารสื่อประสาท(neurotransmitters) ซึ่งสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีน โดยพื้นฐานแล้วฮอร์โมนและเอ็นไซม์ทั้งหมดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและควบคุมกระบวนการต่างๆ ของร่างกายล้วนประกอบด้วยโปรตีนทั้งสิ้น
ดังนั้นการเพิ่มโปรตีนเข้าไปในอาหารของเด็กในแต่ละวันจะช่วยพัฒนาอารมณ์และพฤติกรรมของเด็กได้
-
เวทมนต์แห่งสติ
การร่วมทำกิจกรรมเพื่อฝึกสมาธิกับเด็กๆ จะเป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อสมองในส่วนของการควบคุมตัวเอง ทักษะการสงบสติอารมณ์ และการมีสมาธิ
-
การเล่นโยคะก็เหมาะสำหรับเด็ก
คุณเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม “ถ้าควบคุมลมหายใจได้คุณก็ควบคุมจิตใจได้”
ในปัจจุบันนั้นชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบซึ่งการหายใจของเราบางทีก็อาจจะเร็วเกินไปหรือช้าเกินไปทำให้ร่างกายเกิดความเครียดและวิตกกังวลได้
ดังนั้นเราควรบริหารการหายใจของเราและลูกๆ ด้วยโยคะเพราะโยคะไม่ใช่แค่การยืดกล้ามเนื้อ ฝึกความต้านทานและการทรงตัวเท่านั้นแต่ยังช่วยให้เด็กสามารถควบคุมลมหายใจของตนเองได้ซึ่งส่งผลให้สามารถควบคุมจิตใจได้ดี
-
ค้นพบอาหารสมอง
คุณคือสิ่งที่คุณกิน การเพิ่มการบริโภคอาหารจริงๆด้วยสารอาหารที่มีคุณภาพสามารถช่วยให้บุตรหลานของคุณมีสมาธิ สงบสติอารมณ์ และจัดการอารมณ์และพฤติกรรมได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงสิ่งต่อไปนี้ก็ถือเป็นหารหารสมองด้วย
-
- ลดน้ำตาลเทียมและน้ำตาลปกติที่สามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้
- อาหารหลากสีช่วยให้ลูกของคุณได้รับวิตามินและสารอาหารครบถ้วน
- ทั้งอาหารดิบและอาหารปรุงสุก
- สังเกตอาหารที่ทำให้ลูกคุณรู้สึกไม่ชอบ/ฉุนเฉียว/อารมณ์เสีย รวมไปถึงอาหารที่ทำให้ลูกอารมณ์ดี
-
ใช้น้ำหอมจากธรรมชาติ
กลิ่นหอมจากธรรมชาติจะช่วยปรับอารมณ์ของเด็กๆ ได้ เช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย กลิ่นของมะนาวช่วยให้รู้สึกกระปี้กระเป่า น้ำมันหอมระเหยช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายตอนนอนและช่วยให้มีสมาธิตอนทำการบ้าน
-
เลือดสูบฉีดไม่พอ
การวิจัยระบุว่าสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดมีบทบาทสำคัญในสุขภาพจิตโดยการกระตุ้นปฏิกิริยาทางประสาทเคมีที่สมดุลอารมณ์และพลังงาน กุญแจสำคัญคือการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น
ดังนั้นให้หมั่นออกกำลังกายแอโรบิกประเภทต่างๆ กับลูกของคุณให้เป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์
-
เลี่ยงอาหารแปรรูปและแต่งสี
การวิจัยกับกลุ่มเด็กอายุ 3 ขวบพบว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะขาดสมาธิ ขาดการยับยั้งชั่งใจ รบกวนผู้อื่น และนอนไม่หลับเมื่อดื่มน้ำผลไม้ที่ผสมสีและสารกันบูดเนื่องจากการบริโภคอาหารที่ผ่านการขัดสีและแปรรูปมากเกินไปนั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางชีววิทยาที่รองรับอารมณ์และพฤติกรรม (การอักเสบและความไม่สมดุลของสารสื่อประสาท) ดังนั้นควรหลีกเหลี่ยงไม่ให้เด็กรับประทานอาหารเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด
และสุดท้ายนี้การเริ่มต้นจากสิ่งเล็กก็ช่วยพัฒนาอารมณ์และพฤติกรรมของเด็กๆ ได้ เช่น เมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวก็ให้ลองพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “อู๊… นี่มันเหมือนกับสัตว์ประหลาดเลย น่ากลัวจัง ใช่ลูกของแม่ไหมน๊า” เป็นต้น