โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อยและซับซ้อนซึ่งสามารถเกิดกับทุกคนได้ มีอาการเจ็บปวด บวม แดง และกดเจ็บในข้อหนึ่งข้อหรือมากกว่านั้น โดยมีอาการอย่างฉับพลันและรุนแรง โดยส่วนใหญ่มักเกิดที่หัวแม่เท้า
สาเหตุโรคเกาต์
โรคเกาต์เกิดขึ้นเมื่อผลึกเกลือยูเรตสะสมในข้อต่อเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการอักเสบและปวดอย่างรุนแรงจากโรคเกาต์ ผลึกของยูเรตสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีกรดยูริกในเลือดสูง ซึ่งร่างกายของเราจะผลิตกรดยูริกเมื่อจะย่อยสลายพิวรีน ซึ่งเป็นสารที่พบตามได้ในร่างกายของคนเรา
พิวรีนยังพบได้ในอาหารบางชนิด เช่น เนื้อแดง ตับ อาหารทะเลที่อุดมด้วยพิวรีน ได้แก่ แอนโชวี่ ปลาซาร์ดีน หอยแมลงภู่ หอยเชลล์ ปลาเทราท์ และทูน่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลผลไม้ (ฟรุกโตส) ส่งเสริมกรดยูริกในระดับที่สูงขึ้น
โดยปกติกรดยูริกจะละลายในเลือดของเราและผ่านไตเข้าไปในปัสสาวะ แต่บางครั้ง ร่างกายของผลิตกรดยูริกมากเกินไป หรือไตขับกรดยูริกน้อยเกินไป จนทำให้กรดยูริกสะสมก่อตัวเป็นผลึกยูเรตที่แหลมคมคล้ายเข็มในข้อต่อหรือเนื้อเยื่อรอบข้าง ซึ่งทำให้เกิดอาการปวด อักเสบ และบวม
อาการของโรคเกาต์
อาการและอาการของโรคเกาต์มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและบ่อยครั้งในเวลากลางคืน อาการส่วนใหญ่ที่พบมีดังนี้
- เจ็บปวดข้ออย่างรุนแรงโรคเกาต์มักส่งผลต่อหัวแม่เท้า แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ตามข้อที่บริเวณอื่นเช่น ข้อเท้า หัวเข่า ข้อศอก ข้อมือ และนิ้ว อาการปวดจะรุนแรงที่สุดภายใน 4 ถึง 12 ชั่วโมง
- ความรู้สึกไม่สบายหรือมีไข้ขึ้นหลังจากที่อาการเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดบรรเทาลง อาจจะอาการไม่สบายเป็นไข้ตามมาได้ โดยจะมีอาการไข้ตั้งแต่ 2 – 3สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างการของแต่ละคน ซึ่งคนที่เป็นไข้ไม่สบายเป็นเวลานานอาจจะส่งผลต่อโรคเกาต์ได้
- มีการอักเสบและรอยแดง ข้อต่อบริเวณที่ปวดจะมีลักษณะบวมแดง
- การเคลื่อนที่ขยับตัวไม่สะดวกเนื่องจากข้อต่อส่วนที่อักเสบจะส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของเราได้
ประเภทของโรคเกาต์
แบ่งตามอาการของโรคเกาต์
- โรคเกาต์เฉียบพลัน
ระยะนี้เกิดขึ้นเมื่อผลึกเกลือยูเรตในข้อต่อทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลันและอาการปวดอย่างรุนแรง อาการที่แสดงแบบกระทันหันนี้เรียกว่า ” flare” และอาจคงอยู่ระหว่าง 3 วัน 2 สัปดาห์หากอาการเครียดมากหรือดดื่มเครื่องดื่มจำพวกแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการวูบวาบได้
- โรคเกาต์แบบช่วงเวลาหรือช่วงวิกฤต
เป็นการเกิดโรคเกาต์เป็นช่วงเวลาเช่น จะปวดโรคเกาต์ในเวลากลางคืน ซึ่งการปวดแต่ครั้งจะประมาณ 2-8 ชั่วโมง อาการปวดเกาต์จะค่อยดีขึ้น แต่ผลึกของยูเรตอาจยังคงก่อตัวขึ้นในเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจจะปวดขึ้นได้อีก
- โรคเกาต์โรคเกาต์เรื้อรัง
โรคเกาต์เรื้อรังเป็นประเภทที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอมากที่สุดและอาจส่งผลให้ข้อต่อและไตเสียหายถาวร โรคเกาต์เรื้อรังส่วนใหญ่จะเกิดจากโรคเกาต์แบบเฉียบพลัน แล้วไม่รีบรักษาจนทำให้มีอาการสะสมและหนักขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเกาต์
แนวโน้มที่จะเป็นโรคเกาต์มากขึ้น ถ้ามีกรดยูริกในร่างกายสูง ปัจจัยที่เพิ่มระดับกรดยูริกในร่างกาย ได้แก่ :
- อาหาร การรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง หอย และเครื่องดื่มที่มีรสหวานด้วยน้ำตาลผลไม้ (ฟรุกโตส) จะเพิ่มระดับของกรดยูริก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเกาต์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเกาต์ด้วยเช่นกัน
- น้ำหนัก หากคุณมีน้ำหนักเกิน ร่างกายของคุณจะผลิตกรดยูริกมากขึ้น และการทำงานของไตในการกำจัดกรดยูริกก็จะหนักขึ้น
- โรคประจำตัว โรคบางอย่างก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกาต์ เช่น ซึ่ง เบาหวาน โรคอ้วน กลุ่มอาการเมตาบอลิซึม โรคหัวใจและโรคไตเรื้อรัง รวมถึงความดันโลหิตสูงหากไม่ได้รับการรักษาจนกลายภาวะเรื้อรัง
- ยาบางชนิด เช่น แอสไพรินขนาดต่ำและยาบางชนิดที่ใช้ในการควบคุมความดันโลหิตสูง เช่น ยาขับปัสสาวะ thiazide สารยับยั้งเอนไซม์ angiotensin-converting enzyme (ACE) และยา beta blockers ก็สามารถเพิ่มระดับกรดยูริกได้เช่นกัน
- ประวัติครอบครัวเป็นโรคเกาต์หากสมาชิกในครอบครัวของคุณเป็นโรคเกาต์ คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้มากขึ้น
- อายุและเพศ โรคเกาต์เกิดขึ้นบ่อยในผู้ชาย สาเหตุหลักมาจากผู้หญิงมักจะมีระดับกรดยูริกต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม หลังหมดประจำเดือน ระดับกรดยูริกของผู้หญิงจะเข้าใกล้ผู้ชาย ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเกาต์ในอายุน้อยกว่าผู้หญิง โดยอายุระหว่าง 30 ถึง 50 ปี ในขณะที่ผู้หญิงมักมีอาการและอาการแสดงหลังหมดประจำเดือน
- การผ่าตัดหรือการบาดเจ็บ การผ่าตัดหรือการได้รับบาดเจ็บตามข้อต่อก็อาจจะส่งผลให้เกิดโรคเกาต์ได้เช่นกัน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเกาต์
อาการของโรคเกาต์เฉียบพลันและเรื้อรังสามารถรักษาได้ อาการปวดเกาต์อาจรุนแรงกว่าอาการปวดข้อแบบอื่นๆ ดังนั้นควรไปพบแพทย์หากคุณมีอาการปวดอย่างฉับพลันและรุนแรงในข้อที่ไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
หากไม่ได้รับการรักษา โรคเกาต์อาจทำให้เกิด ภาวะแทรกซ้อนอื่นได้ เช่น
- ก้อนเนื้อใต้ผิวหนัง โรคเกาต์ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดการสะสมของผลึกกรดยูริกใต้ผิวหนัง เรียกว่า โทฟี (TOE-fie) จะทำให้รู้สึกเหมือนเป็นก้อนแข็งและอาจเจ็บปวดและอักเสบได้ระหว่างที่โรคเกาต์กำเริบ เมื่อโทฟีสะสมในข้อต่อ สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดความผิดปกติและความเจ็บปวดเรื้อรัง ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของเรา และในที่สุดสามารถทำลายข้อต่อของเราได้ทั้งหมด โทฟีอาจกัดเซาะผ่านผิวหนังบางส่วนและทำให้เกิดสารที่เป็นชอล์กสีขาว
- ความเสียหายของไต ผลึกของยูเรตสามารถสร้างขึ้นในไตของคุณได้เช่นกันซึ่งอาจทำให้เกิดนิ่วในไตและส่งผลต่อความสามารถของไตในการกรองของเสียออกจากร่างกายในที่สุด
- โรคเกาต์อาจทำให้เกิดการอักเสบของถุงน้ำ (เบอร์ซา) ที่หุ้มเนื้อเยื่อ โดยเฉพาะบริเวณข้อศอกและเข่าอาการของเบอร์ซาอักเสบยังรวมถึงความเจ็บปวด ความฝืด และบวมด้วย การอักเสบใน Bursa เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายของข้อต่ออย่างถาวร สัญญาณของการติดเชื้อ ได้แก่ อาการแดงหรืออุ่นขึ้นบริเวณข้อต่อและมีไข้
อาหารเก๊าท์ที่ควรเลี่ยง
อาหารบางชนิดมีสารพิวรีนสูงตามธรรมชาติ ซึ่งร่างกายจะย่อยสลายเป็นกรดยูริก คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหากับอาหารที่มีพิวรีนสูง แต่ถ้าร่างกายของคุณมีปัญหาในการปล่อยกรดยูริกส่วนเกิน คุณอาจต้องการหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด เช่น:
- เนื้อแดง
- ตับ
- อาหารทะเลบางชนิด
- แอลกอฮอล์
- เครื่องดื่มรสหวานที่มีน้ำตาลและอาหารที่มีน้ำตาลฟรุกโตสก็อาจเป็นปัญหาได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่มีพิวรีนก็ตาม
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
หากคุณพบอาการปวดข้ออย่างฉับพลันและรุนแรง ให้ติดต่อแพทย์ โรคเกาต์ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดอาการปวดและข้อเสียหายได้ ไปพบแพทย์ทันทีหากคุณมีไข้และข้อร้อนและอักเสบ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
สรุป
- โรคเกาต์เป็นรูปแบบทั่วไปของโรคข้ออักเสบที่มีผลต่อข้อต่อมันสามารถนำไปสู่ความเจ็บปวดอย่างรุนแรง บวมและตึง
- ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง – เมื่อมีกรดยูริกมากเกินไปในเลือด เป็นสาเหตุหลักของโรคเกาต์
- หากกรดยูริกเกินในเลือดหากร่างกายผลิตกรดยูริกมากเกินไปหรือหากไตขับสารออกไม่เพียงพอ แพทย์จะตรวจอาการและสั่งยาเพื่อรักษาโรคเกาต์ตามอาการซึ่งอาจรวมถึงการรักษาเพื่อลดการอักเสบในข้อต่อที่ได้รับผลกระทบ และยาที่ช่วยควบคุมระดับกรดยูริก
- เราสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกาต์ได้ด้วยการ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูงซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นกรดยูริก
- รักษาระดับน้ำให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
ที่มา
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/4755-gout
https://www.healthline.com/health/gout#and-alcohol